

ความเป็นมา
เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ที่ได้จากผลการดำเนินงาน “โครงการวิจัยการพัฒนาระบบและแนวทางการวิเคราะห์และสังเคราะห์องค์ความรู้ในการทำวิจัยและการทำงานเกี่ยวกับประชากรกลุ่มเปราะบาง เพื่อใช้ในการพัฒนาศักยภาพนักวิจัยและคนทำงานที่เสริมพลังและพัฒนาคุณภาพชีวิตประชากรกลุ่มเปราะบาง” ซึ่งเป็นโครงการวิจัยที่สถาบันการเรียนรู้การสร้างเสริมสุขภาพ (ThaiHealth Academy) หน่วยงานลักษณะพิเศษภายในสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้รับทุนสนับสนุนการดำเนินงานจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) สสส. เพื่อเป็นการนำผลการวิจัยหรือองค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยมาเผยแพร่ให้แก่ นักวิจัย คนทำงาน หรือกลุ่มอื่นๆ ที่ทำงานหรือทำวิจัยเกี่ยวข้องกับประชากรกลุ่มเปราะบาง


BEST
B: Build Capacity
การเสริมสร้างขีดความสามารถ หรือกระบวนการพัฒนาศักยภาพบุคคลโดยการเสริมสร้างทักษะและความสามารถ เพื่อรับมือและช่วยลดผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน ไปจนถึงความท้าทายอื่น ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น โดยส่วนสำคัญของการเสริมสร้างขีดความสามารถที่มีประสิทธิผลคือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในและยั่งยืนต่อไปได้ด้วยตัวเองในอนาคต
E: Empowering Research
งานวิจัยแบบเสริมพลังให้กับความเปราะบาง/ประชากรกลุ่มเปราะบาง
S: Synthesis Tacit and Explicit Knowledge
การสังเคราะห์องค์ความรู้ที่ชัดแจ้งและองค์ความรู้ที่ฝังในตัวคน
T: The Quality of Life of the Vulnerable Population
คุณภาพชีวิตของประชากรกลุ่มเปราะบาง
ความเปราะบาง
(Vulnerability)
เป็นความสัมพัทธ์กับสถานการณ์ที่บุคคลไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์วิกฤตต่างๆ เนื่องจากไม่ได้เตรียมการจัดการหรือไม่สามารถเตรียมการจัดการกับความเสี่ยงไว้อย่างเพียงพอด้วยข้อจำกัดต่างๆ
ความรู้แบบชัดแจ้ง
(Explicit Knowledge)
เป็นความรู้ที่เป็นเหตุเป็นผล ผ่านการวิเคราะห์ สังเคราะห์จนเป็นหลักทั่วไป ไม่ขึ้นอยู่กับบริบทใดโดยเฉพาะ สามารถรวบรวมและถ่ายทอดออกมาใน รูปแบบต่างๆ ได้ เช่น หนังสือ คู่มือ เอกสารและรายงานต่างๆ ซึ่งทำให้คนสามารถเข้าถึงได้ง่าย
ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน
(Tacit Knowledge)
เป็นความรู้ที่อยู่ในตัวของแต่ละบุคคล อาจอยู่ในใจ (ความเชื่อ ค่านิยม) อยู่ในสมอง (เหตุผล) อยู่ในมือและส่วนอื่นๆ ของร่างกาย (ทักษะ) เกิดจาก ประสบการณ์การเรียนรู้ หรือพรสวรรค์ต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับบริบทใดบริบทหนึ่งโดยเฉพาะ สื่อสารหรือถ่ายทอดในรูปของตัวเลข สูตร หรือลายลักษณ์อักษรได้ยาก แต่พัฒนาและแบ่งปันกันได้ เป็นความรู้ที่ก่อให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน ความรู้ในองค์กรส่วนใหญ่จะเป็นความรู้ที่ฝังในตัวคน
ความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรม
หมายถึง การเข้าใจในความแตกต่างทางวัฒนธรรม และการเรียนรู้การอยู่ร่วมกับ ผู้อื่นในสังคมที่มีความแตกต่างหมายถึง ความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรม หมายถึง การเข้าใจในความแตกต่างทางวัฒนธรรม และการเรียนรู้การอยู่ร่วมกับ ผู้อื่นในสังคมที่มีความแตกต่าง
การสนับสนุนทางสังคม
หมายถึง กระบวนการที่มีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในเครือข่ายทางสังคมที่ทำให้บุคคลมีสุขภาพกายและจิตที่ดีขึ้น การสนับสนุนทางสังคมเป็นปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อมของเครือข่าย (Network structure) การทำหน้าที่ (Function) ของเครือข่ายทางสังคม การสนับสนุนทางสังคม หรือ แรงสนับสนุนทางสังคม หรือการเกื้อกูลทางสังคม ทำให้บุคคลในสังคมได้รับความรัก ความเอาใจใส่ เห็นคุณค่า ได้รับการยกย่อง มีความผูกพันซึ่งกันและกัน มีความรู้สึกเป็นส่วนร่วมในสังคมเดียวกัน มีการให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ โดยมีองค์ประกอบ 4 ด้าน ได้แก่
1) การสนับสนุนด้านอารมณ์และความรู้สึก (Emotional support)
2) การสนับสนุนด้านเครื่องมือ อุปกรณ์ หรือการบริการที่ให้ความช่วยเหลือ (Instrumental support)
3) การสนับสนุนด้านข้อมูลข่าวสาร (Informational support)
4) การสนับสนุนด้านตระหนักรู้คุณค่าตนเอง (Appraisal support)
ปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ
(Social Determinants of Health: SDH)
หมายถึง สภาพแวดล้อมที่บุคคลเกิด เติบโต ทำงาน ดำรงชีวิตอยู่ ไปจนถึงระบบซึ่งกำหนดเงื่อนไขในชีวิตประจำวัน อาทิ นโยบายและระบบเศรษฐกิจ วาระการพัฒนา บรรทัดฐานทางสังคม นโยบายสังคมและระบบการเมือง (องค์การอนามัยโลก) แนวคิดของปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ ทำให้เห็นความซับซ้อนของปัญหาและมีกระบวนทัศน์ใหม่ในการดูแลสุขภาพประชาชน สามประการสำคัญ ได้แก่
(1) การมองปัจจัยการเกิดโรคและความเจ็บป่วยไปไกลว่าปัจจัยระดับบุคคล ปัจจัยทางพันธุกรรมหรือสรีรวิทยา หรือปัจจัยเชิงพฤติกรรม
(2) การพิจารณาปัจจัยองค์รวมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพตลอดช่วงทุกอายุของบุคคลนั้นๆ และ
(3) การเพิ่มบทบาทการป้องกันโรค (Prevention) มากกว่าการรักษาพยาบาล ปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ มีอิทธิพลสำคัญต่อประเด็นความเป็นธรรมด้านสุขภาพ ซึ่งคือความแตกต่างของสถานะสุขภาพที่ไม่เป็นธรรมและหลีกเลี่ยงได้ทั้งเกิดขึ้นภายในและระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับใด สุขภาพและความเจ็บป่วยของประชาชนนั้นจะแปรผันไปตามลำดับชั้นของสังคม ยิ่งสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของบุคคลนั้นอยู่ระดับล่างเท่าไร ก็จะมีแนวโน้มที่จะสุขภาพแย่ลงไปด้วย ปัจจัยเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่พฤติกรรมส่วนบุคคล เช่น การกิน การนอน การออกกำลังกาย แต่รวมไปถึง
• รายได้และความมั่นคงทางการเงิน: คนที่มีรายได้น้อยมักมีโอกาสเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพ ที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย และบริการดูแลสุขภาพได้น้อยกว่า
• การศึกษา: การศึกษาที่มีคุณภาพช่วยให้ผู้คนมีทักษะและความรู้ที่จำเป็นในการตัดสินใจที่ดีต่อสุขภาพ
• ที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม: สภาพแวดล้อมที่สกปรก แออัด หรืออันตราย ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ
• การเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพ: คนที่ยากจนหรืออาศัยอยู่ในชนบทมักเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพได้ยาก
• ความปลอดภัยในชุมชน: ชุมชนที่มีความรุนแรงสูงส่งผลต่อสุขภาพจิตและร่างกาย
การเสริมพลัง
(Empowerment)
หมายถึง กระบวนการส่งเสริมและพัฒนาให้บุคคลองค์กรและชุมชนมีการเสริมสร้างความสามารถของตนเองโดยเน้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่การระบุปัญหาของตนเองวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาและเกิดพลังรู้สึกว่าตนเองมีพลังอำนาจสามารถควบคุมความเป็นอยู่หรือชีวิตของตนเองได้ การเสริมพลังกับกระบวนการทำวิจัย/การทำงาน โดยเฉพาะงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประชากรกลุ่มเปราะบาง จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับหลักการพื้นฐาน 4 ประการ คือ
1. การเคารพและสร้างความสามัคคีในประชากรกลุ่มเปราะบาง (Respect and unite members of vulnerable groups) โดยการทำการวิจัยอย่างมีความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรม (Practice Culturally Sensitive Research) การทำการวิจัยอย่างมีความละเอียดอ่อนต่อเพศสภาพ (Practice Gender-Sensitive Research) ตระหนักและหลีกเลี่ยงการตีตราและการกล่าวโทษ (Avoid Labeling and Blaming) ตระหนักถึงการใช้ภาษาที่ชัดเจนและสนับสนุน (Use Explicit, Supportive Language) ใช้ความต่อเนื่องในการวัดตัวแปร (Use a Continuum to Measure Variables) มีการกำหนดนโยบาย ข้อตกลงในการทำวิจัย/การทำงานที่ชัดเจน (Develop Policy Applications)
2. ให้ความสำคัญกับการป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นและคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดจากการวิจัยที่จะเกิดกับประชากรกลุ่มเปราะบาง (Prevent harm and maximize benefits)
3. แสดงการยืนยันการมีส่วนร่วมของผู้เข้าร่วมและเพื่อนร่วมงาน (Affirm participants and colleagues)
4. ตอบแทนแก่ผู้เข้าร่วม (Give something back to the participants) การวิจัยที่เสริมพลังจึงต้องให้บางสิ่งบางอย่างกลับเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนที่เกี่ยวข้องในการวิจัยไม่เพียงได้รับแค่ความรู้สึกชื่นชมสำหรับแต่ละบุคคลเท่านั้น แต่ต้องได้บางสิ่งตอบแทนจากการมีประสบการณ์ในปฏิสัมพันธ์ของนักวิจัย/คนทำงานกับผู้ปฏิบัติงานและผู้ประชากรกลุ่มเปราะบางผู้เข้าร่วม
หลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพนักวิจัย/คนทำงานกับความเปราะปราง/กลุ่มเปราะบาง
หลักสูตรที่ 1 หลักสูตรสมรรถนะแกนกลางการทำวิจัย/การทำงานกับความเปราะบาง (Core competencies for research/working with vulnerability)
คำอธิบายหลักสูตร หลักสูตรนี้พัฒนาขึ้นจากการวิเคราะห์และสังเคราะห์องค์ความรู้ในการทำวิจัย/การทำงานในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความเปราะบาง เพื่อใช้ในการพัฒนาศักยภาพนักวิจัย/คนทำงาน อันเป็นการทำวิจัย/การทำงานที่มีลักษณะเฉพาะ ต้องการการพัฒนาในหลายมิติ โดยเฉพาะการเตรียมตัวนักวิจัย/คนทำงานในเชิงฐานคิดเพื่อการทำงานกับความเปราะบาง เคารพความเป็นมนุษย์ของคนทุกกลุ่มและมีมีทักษะในการออกแบบการทำงานที่เคารพและสร้างการมีส่วนร่วม อันเป็นสมรรถนะหลักที่ไม่ว่านักวิจัยหรือคนทำงานกับความเปราะบางจำเป็นต้องมี
ระยะเวลาการเรียนรู้ 18 ชั่วโมง (3 วัน)
เนื้อหาการเรียนรู้
1. การนิยามศัพท์กลุ่มเปราะบาง
2. ความรู้เฉพาะของประชากรกลุ่มเปราะบางแต่ละกลุ่ม
3. ความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรม
4. การออกแบบการทำงานอย่างมีความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรม
5. การออกแบบการทำงานอย่างมีความละเอียดอ่อนต่อเพศสภาพ
6. การเสริมพลัง
7. การจัดการกับความเสี่ยงทางอารมณ์
ผลลัพธ์การเรียนรู้
1. สามารถให้ความหมายของกลุ่มเปราะบางด้วยตนเองที่สอดคล้องกับเรื่องที่ทำ
2. สามารถออกแบบกระบวนการทำงานที่แสดงออกถึงการทำงานอย่างมีความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรมและเพศสภาพ
3. สามารถสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ (Trust)
4. สามารถออกแบบกระบวนการที่เสริมพลังและการสร้างการมีส่วนร่วม

หลักสูตรที่ 2 หลักสูตรสมรรถนะเฉพาะของการทำวิจัยกับความเปราะบาง (Specific competencies for research with vulnerability)
แบ่งออกเป็น 2 หลักสูตรย่อย ดังนี้
2.1 หลักสูตรสมรรถนะเฉพาะของการทำวิจัยกับความเปราะบาง (Specific competencies for research with vulnerability)
คำอธิบายหลักสูตร หลักสูตรนี้พัฒนาขึ้นจากการวิเคราะห์และสังเคราะห์องค์ความรู้ในการทำวิจัยกับความเปราะบาง เพื่อใช้ในการพัฒนาศักยภาพนักวิจัยในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความเปราะบาง อันเป็นการทำวิจัยที่มีลักษณะเฉพาะ ต้องการการพัฒนาในหลายมิติ โดยเฉพาะการพัฒนาสมรรถนะเฉพาะ เช่น จริยธรรมของนักวิจัย การใช้ภาษา การออกแบบการแทรกแซง (Intervention) ที่นักวิจัยผู้ทำงานวิจัยเกี่ยวข้องกับความเปราะบางจำเป็นต้องมี
เนื้อหาการเรียนรู้
1. จริยธรรมที่มากกว่าการลงนามในใบยินยอมของนักวิจัย
2. การใช้ภาษาที่ชัดเจนและสนับสนุนของนักวิจัย
3. ประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดกับประชากรกลุ่มเปราะบางของนักวิจัย
4. การออกแบบการแทรกแซง (Intervention) ของนักวิจัย
5. การออกแบบการทำงานให้ถึงผลลัพธ์ (Implementation science) ของนักวิจัย
6. การรักษาจุดยืนของความเป็นกลางของนักวิจัย
7. การแสดงการยืนยันการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องและเพื่อนร่วมงานของนักวิจัย
8. การปฏิบัติต่อผู้เข้าร่วมและเพื่อนร่วมงานด้วยความเคารพของนักวิจัย
9. การวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นของนักวิจัย
ผลลัพธ์การเรียนรู้
1. สามารถพิทักษ์สิทธิ์ของกลุ่มเปราะบางในทุกมิติ
2. สามารถออกแบบกระบวนการทำวิจัยในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความเปราะบางที่เคารพและพิทักษ์สิทธิ์กลุ่มเปราะบาง
3. สามารถทำงานเป็นทีมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม

2.2 หลักสูตรสมรรถนะเฉพาะของการทำงานกับความเปราะบาง (Specific competencies for working with vulnerability)
คำอธิบายหลักสูตร หลักสูตรนี้พัฒนาขึ้นจากการวิเคราะห์และสังเคราะห์องค์ความรู้ในการทำวิจัยกับความเปราะบาง เพื่อใช้ในการพัฒนาศักยภาพของคนทำงานในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความเปราะบาง อันเป็นการทำงานที่มีลักษณะเฉพาะ ต้องการการพัฒนาในหลายมิติ โดยเฉพาะการพัฒนาสมรรถนะเฉพาะ เช่น จริยธรรมของคนทำงาน การใช้ภาษา การออกแบบการแทรกแซง (Intervention) ที่คนทำงานเกี่ยวข้องกับความเปราะบางจำเป็นต้องมี
เนื้อหาการเรียนรู้
- จริยธรรมที่มากกว่าการลงนามในใบยินยอมของคนทำงาน
- การใช้ภาษาที่ชัดเจนและสนับสนุนของคนทำงาน
- ประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดกับประชากรกลุ่มเปราะบางของคนทำงาน
- การออกแบบการแทรกแซง (Intervention) ของคนทำงาน
- การออกแบบการทำงานให้ถึงผลลัพธ์ (Implementation science)ของคนทำงาน
- การรักษาจุดยืนของความเป็นกลางของคนทำงาน
- การแสดงการยืนยันการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องและเพื่อนร่วมงานของคนทำงาน
- การปฏิบัติต่อผู้เข้าร่วมและเพื่อนร่วมงานด้วยความเคารพของคนทำงาน
- การวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นของคนทำงาน
ผลลัพธ์การเรียนรู้
- สามารถพิทักษ์สิทธิ์ของกลุ่มเปราะบางในทุกมิติ
- สามารถออกแบบกระบวนการทำวิจัยในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความเปราะบางที่เคารพและพิทักษ์สิทธิ์กลุ่มเปราะบาง
- สามารถทำงานเป็นทีมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม

สนใจ ติดต่อ สอบถาม
© 2025 All Rights Reserved.